ริมชายฝั่งทะเลที่คลอเคลียของมหาสมุทรแปซิฟิกในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา มีประภาคารโบราณคู่ชายหาดที่มีประวัติความหลอนขวัญและเรื่องเล่าสะพรึงกลัวที่ถูกเล่าขานต่อกันมายาวนาน นั่นคือ ประภาคารผีสิง West Point Lighthouse เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีเรื่องผีสิงหลอนขวัญกลัวที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา จากภายนอก ดูเป็นเพียงประภาคารอายุกว่า 100 ปีที่ซบเซาและทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่หากขุดค้นประวัติศาสตร์อันน่าขนพองสยองเกรงกลัวของมันออกมา คุณจะได้พบกับเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสะพรึงกลัว
ประภาคารเวสต์พอยต์สร้างขึ้นระหว่างปี 1875 ถึง 1876 โดยกระทรวงนาวิกโยธินแห่งสหพันธรัฐแคนาดา สองชั้นแรกของหอคอยเป็นส่วนหนึ่งของบ้านพักของผู้ดูแล โดยชั้นล่างใช้เป็นห้องรับแขก และชั้นสองแบ่งออกเป็นสองห้องนอน ประภาคารถูกจุดเป็นครั้งแรกในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2419 และผู้ดูแลคนสุดท้าย เบนนี แมคลแซค ลาออกจากตำแหน่งในปี พ.ศ. 2506 เมื่อระบบเป็นแบบอัตโนมัติ
วิลเลียม แอนเดอร์สัน แมคโดนัลด์ส ผู้ดูแลประภาคารคนแรกเป็นผู้ควบคุมประภาคารแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1876 ถึง 1925 ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “ประภาคารวิลลี่” แมคโดนัลด์สไม่เคยพลาดงานแม้แต่คืนเดียวตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ว่ากันว่าวิญญาณของเขาหลอกหลอนบริเวณนี้ ซึ่งมักพบเห็นได้จากแขกและพนักงาน
ตำนานเล่าว่า ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นายประภาคารชาวดัตช์ชื่อ Roy Leckman ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลประภาคารแห่งนี้ ภารกิจของเขาคือต้องจุดไฟประภาคารเพื่อช่วยนำทางเรือไม่ให้ชนแนวหิน แต่แล้วบางครั้งเขาก็ผิดพลาด ทำให้เกิดอุบัติเหตุเรือล่มจนเสียชีวิตกว่าร้อยชีวิต หลังจากนั้น Roy ก็ถูกคนในละแวกนั้นมองว่าเป็นคนประจำประภาคารที่หลอนอย่างมาก บางครั้งเขาก็ดื่มสุราเมามาย จนทำงานผิดพลาด อีกทั้งยังก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับเพื่อนร่วมงานบ่อยครั้ง
แล้ววันหนึ่ง Roy ก็หายตัวไปจากประภาคารอย่างลึกลับ แต่สิ่งน่าขนพองสยองขวัญก็ยังคงตามมา เพราะมีคนหลายคนแว่วเสียงร้องไห้คร่ำครวญ และเห็นร่างของนายประภาคารชราวัย 54 ปี วนเวียนอยู่รอบๆ ประภาคารแห่งนี้อยู่เสมอ นับตั้งแต่นั้นมา เรื่องราวขวัญผวาและการปรากฏตัวของหลอนผีประจำประภาคารก็ถูกเล่าขานต่อกันมา รวมทั้งยังมีคนเห็นภาพหลอกหลอนหลายครั้งว่า มีร่างคนถือโคมไฟวิ่งวนอยู่รอบประภาคารอีกด้วย จนทำให้ West Point Lighthouse กลายเป็นหนึ่งในประภาคารที่มีเรื่องเล่าขวัญผวาที่สุดแห่งหนึ่งในโลกไปโดยปริยาย
บทความโดย : ufa877
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *